ฟิล์มติดรถยนต์ ได้รับความนิยมแพร่หลาย จนทำให้ทุกวันนี้การติดฟิล์มรถยนต์ เป็นเรื่องจำเป็น กลายเป็นเรื่องปกติของคนไทยทุกคน แต่ทั้งนี้ วันนี้เราจะมาศึกษาความรู้ที่เกี่ยวข้อกับการเลือกใช้ของดีมีคุณภาพ ความรู้ที่ดี จะทำให้เราลดค่าใช้จ่ายในการติดฟิล์มรถยนต์ไปมหาศาล ทั้งยังได้ของดีมีคุณภาพ เพราะฟิล์มดีๆจะอยู่กับเราไปอีกหลายปี เลือกติดทั้งที เลือกที่ดีๆ ดีกว่าครับ ยินดีให้คำปรึกษาฟรี โทร 099-335-8756 ติดฟิล์มรถยนต์แบบไหนดี? เทคนิคเลือกฟิล์มที่เหมาะสมกับราคาและคุณภาพ จะติดฟิล์มรถยนต์ทั้งที ไม่ใช่แค่เอาฟิล์มแผ่นดำๆเงาๆมาแปะกระจกก็เรียบร้อยครับ ฟิล์มรถยนต์นั้นจะอยู่กับเราไปอีกนานหลายปี มาเลือกฟิล์มกรองแสงที่เหมาะสมกับราคาและคุณภาพดีกว่า ก่อนอื่นเราต้องรู้กันก่อนว่า ฟิล์มติดรถยนต์ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามกระบวนการผลิตครับ 1. ฟิล์มรถยนต์แบบย้อมสี (Deep Dye or Chip Dye Window films) ฟิล์มดำธรรมดา หรือ ฟิล์มย้อมสีนั้น เป็นฟิล์มรถยนต์ที่ราคาถูกที่สุด และคุณภาพแย่ที่สุด ฟิล์มประเภทนี้จะสีจะซีดและสีจะเพี้ยนค่อนข้างไว ตอนติดใหม่ๆฟิล์มจะมีสีดำ แต่เวลาติดไปนานๆเข้า ฟิล์มจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง ที่สำคัญ ฟิล์มรถยนต์แบบย้อมสีนั้นจะกันแต่แสง แต่ไม่กันความร้อน ว่าง่ายๆคือลดแสงจ้าได้อย่างเดียว แต่ความร้อนยังเข้ามา ราคาติดตั้งฟิล์มดำธรรมดา หรือ ฟิล์มย้อมสี ติดรอบคัน ราคา […]
Tag Archives: ฟิล์มปรอท
ค่าลดความร้อนรวม TSER ในฟิล์มกรองแสง หมายถึงอะไรบ้าง? ก่อนที่จะรู้จักค่าลดความร้อนจากสปอร์ตไลต์ ,ค่าลดความร้อนจากแสงแดด เราต้องรู้ก่อนว่าปกติแล้ว ในแสงอาทิตย์นั้น จะประกอบไปด้วยรังสี 3 อย่างโดยมี รังสีUV 3% แสงสว่าง 47% รังสีอินฟราเรด 53% ในสปอร์ตไลท์นั้น จะประกอบไปด้วยรังสี 2 อย่างโดยมี แสงสว่าง 10-20% รังสีอินฟราเรด 80-90% ซึ่งเราจะสังเกตุได้ว่าในสปอร์ตไลท์นั้น จะมีสัดส่วนของรังสีอินฟราเรดหรือรังสีความร้อนมากกว่าแสงอาทิตย์เกือบเท่าตัว ค่าลดความร้อนจากสปอร์ตไลท์ คือ ค่าลดความร้อนของฟิล์มรถยนต์เมื่อทดสอบกับแสงจากสปอร์ตไลท์ ซึ่งมีส่วนประกอบของรังสีอินฟราเรดมากกว่าปกติ ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว จะมีค่ามากกว่าการลดความร้อนจากแสงแดด เพราะสปอร์ตไลท์มีสัดส่วนของรังสีอินฟราเรดมากกว่า เพราะฉะนั้นการใช้ สปอร์ตไลท์ หรือ หลอดอินฟราเรดเป็นตัวทดสอบความร้อนในเครื่องทดสอบฟิล์มต่างๆ จึงเป็นการทดสอบค่าลดความร้อนได้อย่างคร่าวๆ ค่าลดความร้อนจริงๆ ควรจะทดสอบจากแสงแดดจริงๆ ซึ่งความเข้มของฟิล์มกรองแสงจะมีปัจจัยเป็นปัจจัยสำคัญด้วย จะมีความถูกต้องมากกว่า ค่าลดความร้อนรวม (Total Solar Energy Rejected , TSER) คือ ค่าลดความร้อนจากรังสีทั้ง 3 ประเภทรวมกัน คือการลดความร้อนจากรังสี […]
ค่าการป้องกันแสงอาทิตย์ของการติดฟิล์มรถยนต์ เนื่องจากแสงอาทิตย์ประกอบไปด้วยรังสีที่มองเห็นด้วยตาเปล่า (แสงสว่าง) และ รังสีที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (รังสีUV , รังสีอินฟราเรด) วันนี้เราจะมาเจาะลึกว่าค่าการป้องกันรังสี UV และ ค่าการป้องกันรังสีอินฟราเรด คืออะไร สามารถบ่งบอกถึงอะไรได้บ้าง ค่าการป้องกันรังสี UV (UltraViolet Rejected , UVR) คือ ความสามารถในการป้องกันรังสีUVที่มีอยู่ในแสงแดด รังสี UV เป็นรังสีที่มีพลังงานสูงสุด เป็นอันตรายต่อร่างกาย และ ทำให้ ทรัพย์สิน อุปกรณ์ต่างๆภายในรถ เสื่อมสภาพ ซึ่งโดยปกติแล้ว ฟิล์มกรองแสงเกือบทุกชนิดจะสามารถป้องกันรังสี UV ได้ 99% ถือเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของฟิล์มกรองแสงทุกชนิด ทุกยี่ห้อต้องมี ซึ่งการป้องกันรังสี UV ได้99% นั้นจะไม่เกี่ยวกับการป้องกันความร้อนจากแสงแดด หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ฟิล์มกรองแสงที่ป้องกันรังสี UV99%นั้น อาจจะไม่กันความร้อนเลยก็เป็นได้ ค่าการป้องกันรังสีอินฟราเรด (Infrared Rejected , IRR) คือ ความสามารถในการป้องกันรังสีอินฟราเรดที่มีอยู่ในแสงแดด รังสีอินฟราเรดเป็นรังสีที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่จะสามารถสัมผัสได้ในรูปของความร้อน […]
ค่าแสงส่องผ่าน (Visible light transmitted, VLT) คืออะไร? เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณแสงส่องผ่านของฟิล์มกรองแสงนั้นๆ ยิ่งแสงส่องผ่านมาก ก็จะทำให้ฟิล์มมีความใสมาก ถ้าแสงส่องผ่านน้อย ก็จะทำให้ฟิล์มมีความใสน้อย หรือมีความทึบมาก การเรียกความเข้มของฟิล์มว่า 40/60/80 ไม่ใช่การเรียกค่าแสงสว่างส่องผ่านของฟิล์ม การเรียกความเข้มของฟิล์มที่ถูกต้องนั้น ฟิล์มเข้ม80 คือฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 5 % ฟิล์มเข้ม60 คือฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 20 % ฟิล์มเข้ม40 คือฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 40-50 % ถ้าใสกว่านี้โดยทั่วไปก็จะเรียกว่าฟิล์มใส แสงส่องผ่าน ( VLT ) ประมาณ 70% ค่าสะท้อนแสง (Visible light reflected, VLR) คืออะไร ค่าสะท้อนแสง คือ […]
1.ติดฟิล์มรถยนต์สีดำเข้ม 80% ไม่ผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ? ในปัจจุบัน กฎหมายบังคับใช้ฟิล์มกรองแสง ติดสีดำเข้ม 80% ขณะนี้ได้ยกเลิกอย่างเป็นทางการแล้ว โดยการเปิด เผยของนายพงศกร เลาหวิเชียร รมช.กระทรวงคมนาคม ที่มา https://www.buildingfilmtastic.com/tint80darkness/ แต่ หากจะย้อนไปถึงสมัยหลายปีก่อน กรมการขนส่งเคยออกกฎหมาย ให้รถยนต์ทุกคัน ติดฟิล์มกรองแสงได้โดยให้ค่าของแสงผ่านได้ร้อยละ 40 เหตุผลก็คือเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและอาชญากรรม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคเท่าใดนัก เพราะ ผู้ใช้รถใช้ถนนส่วนใหญ่ จะติดฟิล์มความเข้มเกิน 40% อยู่แล้ว (เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนตลอดทั้งปี) ทำให้รถเกือบทุกคันต้องลอกเปลี่ยนฟิล์มเก่าทิ้ง นอกจากนี้ยังเกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องของความเป็นธรรม เพราะรถของกรมตำรวจบางคันเอง หรือรถของบรรดานักการเมืองทั้งหลาย ยังคงติดฟิล์มกรองแสงสีดำสนิท ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้รถทั่วไป กฏหมายฉบับนี้จึงถูกยกเลิกไปในที่สุด 2.คราบน้ำที่เกิดขึ้นบนกระจกหลังจากติดตั้ง จะหายไปเองหรือไม่ ? ในกระบวนการติดตั้งฟิล์มกรองแสงนั้น จะมีการใช้น้ำยาติดตั้งฉีดลงบนกระจก และ กาวบนแผ่นฟิล์มกรองแสงก่อนติดตั้ง เพื่อที่จะได้เลื่อนขยับแผ่นฟิล์มให้เข้ารูปกับกระจกได้ หลังจากนั้นจะถูกรีดออกด้วยเครื่องมือรีดน้ำแบบต่างๆ หลังจากติดตั้งฟิล์มกรองแสงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีน้ำยาติดตั้งเหลืออยู่ระหว่างแผ่นฟิล์มกับกระจกบ้าง ถือเป็นเรื่อง “ปกติ” ลักษณะมองผิวเผินจะคล้ายๆกับฟองอากาศ เกิดขึ้นทั่วไปบริเวณที่ติดตั้ง มองจากข้างในรถจะเป็นคลื่นๆไม่เรียบ […]
ปัจจุบันการติดฟิล์มรถยนต์เป็นที่แพร่หลายอย่างมากและถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรถยนต์ทุกคัน เพราะ ภูมิอากาศของเมืองไทยเป็นเมืองร้อน โดยปกติการเลือกฟิล์มติดรถยนต์ ควรจะคำนึงถึงหลักสำคัญ 4 ประการคือ 1.การป้องกันรังสีความร้อน การป้องกันรังสีความร้อนเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆของการเลือกฟิล์มติดรถยนต์เนื่องจากเมืองไทยเป็นประเทศที่มีอากาศค่อนข้างร้อนทำให้ผู้บริโภคนิยมเลือกใช้ฟิล์มติดรถยนต์ที่กันความร้อนได้สูง โดยปกติแล้วฟิล์มกรองแสงที่มีความเข้มมากมักจะกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ดีกว่าฟิล์มกรองแสงสีใส เนื่องจากในแสงสว่างนั้นก็จะมีความร้อนแฝงอยู่ด้วย และฟิล์มกรองแสงที่สะท้อนมากก็จะสามารถกันความร้อนได้ดีกว่าฟิล์มกรองแสงที่สะท้อนน้อยๆเช่นกัน 2.ทัศนะวิสัยการมองเห็นจากภายในรถยนต์ (ทั้งกลางวันและกลางคืน) ทัศนะวิสัยการมองเห็นถึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ขับขี่ควรคำนึงถึงก่อนที่จะตัดสินใจเลือกฟิล์มรถยนต์ โดยปกติแล้วฟิล์มที่มีความเข้มน้อย ทัศนวิสัยก็จะดีกว่าฟิล์มที่มีความเข้มมาก และฟิล์มสีดำทัศนวิสัยก็จะดีกว่าฟิล์มปรอทเช่นเดียวกัน เนื่องจากฟิล์มมีความสะท้อนน้อยกว่า ฟิล์มคุณภาพสูง เช่นฟิล์มประเภทนาโน ทัศนวิสัยการขับขี่ก็จะดีกว่าฟิล์มแบบธรรมดาหรือฟิล์มย้อมสีเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสายตาของผู้ขับขี่เองด้วย ถ้าผู้ขับขี่มีปัญหาด้านสายตาหรือสายตาสั้นก็ควรจะเลือกฟิล์มที่มีความเข้มในระดับไม่เกิน60% 3.ความสวยงามของรถยนต์หลังติดตั้งฟิล์มกรองแสง ความสวยงามของรถยนต์หลังติดตั้งฟิล์มกรองแสง กระจกรถยนต์ถือเป็นส่วนประกอบหลักที่ผู้บริโภคแทบทุกท่านคำนึงถึง ดังนั้นเฉดสีและเปอร์เซ็นต์การสะท้อนของฟิล์มกรองแสงจึงมีผลต่อความสวยงามของรถยนต์หลังติดตั้งด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วรถยนต์แต่ละสีก็จะเข้ากับเฉดสีของฟิล์มกรองแสงต่างกันขึ้นอยู่กับความชอบและรูปทรงของรถยนต์ 4.คุณภาพการรับประกันและการติดตั้งฟิล์ม ฟิล์มติดรถยนต์ที่ดี ควรจะมีการรับประกันคุณภาพเนื้อฟิล์มตั้งแต่ 5-10 ปี ผลิตจากโรงงานที่เชื่อถือได้และมีศูนย์ติดตั้งที่มีคุณภาพ พร้อมที่จะให้คำแนะนำ ปรึกษา และติดตั้งให้อย่างมืออาชีพ สอบถามเทคนิคการเลือกฟิล์มติดรถยนต์เพิ่มเติม ได้ที่ เบอร์โทร: 099-335-8756 , 02-003-3583 E-mail: heatgardfilm@gmail.com Line : HeatGard Facebook : https://www.facebook.com/heatgardfilm
ติดฟิล์มปรอท เป็นพิษ เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่? หลายๆ คนมีคำถามสงสัยว่า ติดฟิล์มปรอท จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ เพราะสารปรอทเป็นโลหะหนัก เป็นพิษต่อร่างกาย ถ้าฟิล์มกรองแสงเสื่อมสภาพก็กังวลว่าสารปรอทรั่วไหลออกมาหรือไม่ ซึ่งในความจริงแล้ว ฟิล์มปรอทนั้น ไม่ได้มีส่วนประกอบของปรอทในการผลิตอยู่เลย ฟิล์มปรอทที่คนทั่วๆไปเรียกกันนั้น จะทำมาจากฉาบสารโลหะประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสารอลูมิเนียม , ไททาเนียม , เงิน , ทอง ฯลฯ ทำไมถึงเรียกว่าฟิล์มปรอท? แล้ว ทำไมถึงเรียกกันว่าฟิล์มปรอทหละ? อันนี้เป็นความเข้าใจผิดของผู้บริโภคคนไทยสมัยก่อนเช่นกัน ด้วยความที่ว่าในสมัยที่ฟิล์มฉาบโลหะนำเข้ามาในประเทศไทยใหม่ๆนั้น คนสังเกตุเห็นฟิล์มเป็นแผ่นมันวาวคล้ายๆกับกระจก จึงเหมารวมไปว่า ฟิล์มแบบฉาบโลหะน่าจะมีวิธีการผลิตเหมือนกับการผลิตกระจกโดยใช้สารปรอท และได้เรียกผิดๆกันต่อๆมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องนั้น ควรจะเรียกว่า “ฟิล์มฉาบโลหะ” จะถูกต้องมากกว่า สอบถามเกี่ยวกับการติดฟิล์มปรอทราคาถูก เบอร์โทร: 099-335-8756 , 02-003-3583 E-mail: heatgardfilm@gmail.com Line : HeatGard Facebook : https://www.facebook.com/heatgardfilm
เงื่อนไขการรับประกันฟิล์มกรองแสง HeatGard บริษัท อินเตอร์ คูลลิ่งเทค จำกัด ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เลือกใช้ไว้วางใจเลือกใช้ ฟิล์มกรองแสงฮีทการ์ด (HeatGard) ทางบริษัทฯ ขอรับประกันคุณภาพของฟิล์มกรองแสงฮีทการ์ดที่ติดตั้งจาก “ตัวแทนจำหน่าย” อย่างเป็นทางการว่า เนื้อฟิล์มจะไม่ แห้งกรอบ, แตกร้าว, หลุดลอกออกจากกระจก รุ่นBlackGard เป็นระยะเวลา 5 ปี, รุ่น NanoGard เป็นระยะเวลา 7 ปี กรณีฟิล์มกรองแสงเกิดความเสียหายทาง “ตัวแทนจำหน่าย” จะยินดีซ่อมแซม หรือ เปลี่ยนฟิล์มให้ใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทางบริษัทฯ จะไม่รับประกันความเสียหายอันเนื่องมาจาก การทำลาย โดยบุคคลที่ ไม่ใช่ช่างผู้ติดตั้ง การใช้งานและการดูแลรักษาที่ไม่ถูกต้อง กรณีกระจกแตกจากอุบัติเหตุ ติดฟิล์มกรองแสงทับตั้งแต่ 2 ชั้นขึ้นไป ซึ่งการรับประกันมีผลใช้เฉพาะผู้มีชื่อในใบรับประกันเท่านั้นและไม่สามารถเปลี่ยนมือ หรือโอนให้แก่ผู้อื่นได้ หากมีรอยแก้ไขในใบรับประกัน , ข้อความไม่ครบ หรือใบรับประกันสูญหาย ทางบริษัทฯ จะถือว่าใบรับประกันนี้เป็นโมฆะ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเงื่อนไขการรับประกัน สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท อินเตอร์ คูลลิ่งเทค จำกัด […]
เรียกความเข้มฟิล์มกรองแสงอย่างไรให้ถูกต้อง 40/60/80 ในตลาดฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์บ้านเรานั้น จะมีการเรียกความเข้มของฟิล์มไว้ 3 ระดับ คือ เข้ม 40 / 60 / 80 โดยที่ ฟิล์ม 40 เป็นฟิล์มที่เข้มน้อยที่สุด ฟิล์ม 60 เป็นฟิล์มที่เข้มระดับกลางๆ ฟิล์ม 80 เป็นฟิล์มที่มีความเข้มมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเรียกความเข้มของฟิล์ม 40 / 60 / 80 เป็นการเข้าใจผิดของผู้บริโภค เพราะในสมัยแรกๆนั้น มีตัวเลือกของฟิล์มกรองแสงอยู่ไม่มาก คนจึงเรียกฟิล์มที่มีความเข้มมากที่สุดว่าฟิล์ม 80 เข้มน้อยรองลงมาก็คือฟิล์ม 60 เข้มน้อยสุด 40 เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนมาถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเรียกกันผิดๆ การอ่านค่าแสงสว่างส่องผ่านของฟิล์มติดรถยนต์อย่างไรให้ถูกต้อง จริงๆแล้ว ค่าความเข้มของฟิล์มกรองแสง ควรจะพิจารณาจากค่าแสงสว่างส่องผ่าน (Visible Light Transmittance, VLT) เป็นหลัก โดยยิ่งค่าแสงส่องผ่านน้อย ก็จะทำให้ฟิล์มเข้มมาก ฟิล์มเข้ม 80 คือฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน […]
ในปัจจุบันฟิล์มกรองแสงก็มีให้เลือกหลากหลายประเภทหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งมองผิวเผินจากภายนอกแล้ว จะมีลักษณะคล้ายๆกันหมด แต่ถ้าจะให้พิจารณาถึงประเภทของฟิล์มกรองแสงตามกระบวนการผลิตแล้ว จะสามารถแบ่งได้ออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ 1.ฟิล์มรถยนต์แบบย้อมสี(Deep Dye or Chip Dye Window films) เป็นฟิล์มติดรถยนต์ที่ราคาถูกที่สุด และคุณภาพแย่ที่สุด ฟิล์มรถยนต์แบบย้อมสีนั้นจะสามารถป้องกันแสงสว่างได้และป้องกันรังสี UV ได้บางส่วน แต่ไม่กันสามารถกันรังสีความร้อนจากแสงแดดได้เลย อายุการใช้งานจะประมาณ 1-3 ปี หลังจากหมดอายุแล้ว ฟิล์มจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีม่วง และหลุดลอกออกมาจากระจกในที่สุด 2.ฟิล์มรถยนต์แบบฉาบไอโลหะ (Metallized Evaporation Window Films) หรือที่เรียกกันทั่วๆไปว่า “ฟิล์มปรอท” ฟิล์มรถยนต์แบบฉาบปรอทแบบนี้จะถูกเคลือบผิวด้วยไอโลหะประเภทต่างๆ เช่น อลูมิเนียม , ไทนาเนียม ฯลฯ ฟิล์มติดรถยนต์แบบฉาบไอปรอทนี้ จะสามารถกันรังสีความร้อนได้มากพอสมควร ผิวฟิล์มจะมีความมันเงา สะท้อนแสง ให้ความเป็นส่วนตัว เป็นที่นิยมในตลาดฟิล์มกรองแสง อายุการใช้งานประมาณ 5-7 ปี 3.ฟิล์มรถยนต์แบบเคลือบอนุภาคโลหะ( Metal Sputtering Window Films […]
- 1
- 2